ข้อแตกต่างที่ควรรู้ก่อนยกกระชับใบหน้า ระหว่าง Thermage และ Ulthera

ยกกระชับหน้าแบบไหน “ ใช่ ” สำหรับคุณ?

ปัจจุบันมีทางเลือกของการยกกระชับหน้ามาให้เลือกหลากหลาย ตามความหนักเบาของปัญหา และกำลังทรัพย์ของแต่ละคน แต่ที่ค่อนข้างเป็นที่พูดถึงกันมากคือ Thermage กับ Ulthera  เพราะเป็นโปรแกรมยกกระชับที่กำลังเป็นที่นิยม บทความนี้จะมาจำแนกให้เห็นถึงความแตกต่างของ Thermage  และ Ulthera เพื่อให้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ก่อนจะเลือกหัตถการที่ตอบโจทย์ปัญหาของตัวเองมากที่สุด

การทำงานของ Ulthera กับ Thermage แตกต่างกัน

Ulthera การยกกระชับใบหน้าด้วยพลังงานคลื่นเสียงที่มีความเฉพาะเจาะจง (Focused Ultrasound) ลงไปที่บริเวณผิวหนังชั้น SMAS  แล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนจุดเล็ก ๆ ที่มีระยะห่างระหว่างจุดอย่างเท่ากันด้วยขนาด 1 มม. ซึ่งเป็นจุดโฟกัสขนาดใหญ่

ทำให้มีความเสถียรในการส่งพลังงานสู่ผิวหนัง โดยสามารถรักษาแบบเจาะจงเฉพาะจุดได้อีกด้วย เป็นเครื่องมือแพทย์เดียวที่มีหน้าจอแสดงสภาพผิวหนังภายในร่างกาย ทำให้แพทย์เห็นสภาพผิวหนังทุกชั้นในขณะที่พลังงานความร้อนที่ลงสู่พื้นผิวหน้าชั้นต่าง ๆ

แต่การ Thermage เป็นเทคโนโลยีที่ยกกระชับด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง แบบขั้วเดียวที่เจาะจงตำเเหน่ง (RF) ที่ส่งพลังงานความร้อนลงลึกถึงผิวหนังชั้นลึก โดยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แก้ไขปัญหาเส้นใยคอลลาเจนหย่อนคล้อย ขาดการยืดหยุ่นและการยกใบหน้า ช่วยให้เส้นใยคอลลาเจนหดกลับมาและมีเกลียวที่ขึงตึงขึ้น ยึดเนื้อเยื่อของผิวหนังได้ดีขึ้น ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น แข็งแรง และแลดูยกกระชับขึ้น ริ้วรอยลดลง

Ulthera กับ Thermage สามารถทำร่วมกันได้

สามารถทำ Ulthera หลังจาก Thermage ในทางเทคนิคอาจทำได้ เพราะการ Thermage เหมาะกับคนที่มีไขมันมาก จึงมีการทำ Thermage ลดไขมันหน้าก่อนเพื่อไปทำการ Ulthera เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพยกกระชับหน้ามากขึ้น และอาจได้ผลที่น่าพึงพอใจ แต่ก็ควรเว้นระยะการทำหัตถการและดูการวินิจฉัยของแพทย์ว่าสามารถทำควบคู่กันได้หรือไม่

Ulthera กับ Thermage แตกต่างกันในระดับความลึกของชั้นผิว

การ Thermage จะเป็นการส่งคลื่นวิทยุความถี่สูงแล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนเข้าไปที่ชั้นผิวหนัง Dermis ซึ่งเป็นชั้นที่อยู่ของคอลลาเจน ทำให้มีประสิทธิภาพในการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน เกลียวเส้นใยคอลลาเจนให้แข็งแรง ส่งผลให้ผิวหน้าแน่นขึ้น ชั้นไขมันบางลง กรอบหน้าชัดขึ้น แต่ประสิทธิภาพในการไปถึงชั้นลึกสุดของผิวหนังยังไม่มากพอเท่าการทำ Ulthera

เพราะเป็นการส่งคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ลงไปถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับการผ่าตัดยกกระชับใบหน้า ช่วยยกกระชับใบหน้าได้ดีกว่า เพราะการ Thermage พลังงานจะอยู่ที่ 40-50°C เป็นวงกว้าง ครอบคลุมทั้งชั้นผิว อาจช่วยในเรื่องของการลดไขมันและสร้างคอลลาเจนเท่านั้น

ดูที่ปริมาณไขมันบนใบหน้า

การ Thermage จึงอาจเหมาะกับผู้ที่มีไขมันบนใบหน้าเยอะ เช่น ไขมันใต้คาง (เหนียง) หรือ แก้มย้วย เพราะคนที่ใบหน้ามีชั้นไขมันหนามากไม่เหมาะกับการใช้ Ulthera ไขมันอาจเป็นอุปสรรคต่อการยิงของ Ulthera

ไม่สามารถปรับให้ตามความหนาของชั้นไขมัน โดยเฉพาะคนที่มี BMI มากกว่า 30 เพราะฉะนั้นการยิง Ulthera เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีไขมันบนใบหน้า หรือหากใครต้องการที่จะยกกระชับใบหน้าจากการหย่อนคล้อย อาจต้องหันไปหา Ulthera มากกว่า

ความรู้สึกในการทำหัตถการ

เนื่องจากศักยภาพที่แตกต่างกัน จึงทำให้ความรู้สึกขณะทำนั้นแตกต่างกันไปด้วย ค่าพลังงานที่ยิงลงไป Ulthera จะอยู่ที่ 65-70°C จึงทำให้รู้สึกเจ็บมากกว่าการทำ Thermage โดย Ulthera จะให้ความรู้สึกหน่วง ๆ ผิว เหมือนมีหนามเล็ก ๆ แทงลงบนผิว หรือรู้สึกอุ่น ๆ ใต้ผิวหนังจากความร้อนของพลังงาน ขณะทำการปล่อยคลื่นพลังงานเพื่อรักษา

อีกทั้งยังส่งพลังงานสูงไปถึงชั้น SMAS ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีความรู้สึกเจ็บอยู่แล้ว แต่ว่าจะเจ็บมากน้อยมากเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล โดยในขั้นตอนก่อนการทำหัตถการ แพทย์จะทำการทายาชาให้เพื่อลดอาการเจ็บ

รูปแบบการส่งพลังงาน

Ulthera นั้นจะยิงพลังงานลงไปเป็นจุดเล็ก ๆ เป็นเส้นไลน์อย่างสม่ำเสมอ เกิดการหดตัวขนาดประมาณ 1 มิลลิเมตร ส่งผลให้ดึงคอลลาเจนบนผิวชั้นบนให้กระชับมากขึ้น ทำให้ผิวหย่อนคล้อยเกิดความกระชับและตึงขึ้น เป็นพลังงานที่มีความเสถียรมาก แต่ Thermage จะยิงความร้อนเป็นก้อนขนาดใหญ่ลงใต้ผิว ทำให้เกิดการหดตัวในทุกทิศทางโดยการยิงเรียงก้อนเหล่านี้ให้เป็นเส้นตามทิศทางที่ต้องการ

สรุป Ulthera กับ Thermage ช่วยในการยกกระชับเหมือนกันแต่ผลลัพธ์อาจจะแตกต่างกันในเรื่องของการยกกระชับ เนื่องจาก Ulthera ส่งพลังงานไปถึงชั้น SMAS ทำให้ประสิทธิภาพในการยกกระชับมีมากกว่า ส่วน Thermage อาจโดดเด่นในการลดไขมันและเร่งการสร้างคอลลาเจนมากกว่าเพราะว่าพลังงานส่งไปถึงชั้นที่อยู่ของคอลลาเจนโดยตรง

Leave a Reply

Your email address will not be published.